SEO Technical คืออะไร? วิธีปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ Google ชอบ
การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google หรือเครื่องมือค้นหาทั่วไป ซึ่งหนึ่งในส่วนที่สำคัญของ SEO คือ SEO Technical หรือ เทคนิค SEO ที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างและการตั้งค่าทางเทคนิคของเว็บไซต์ เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงและจัดอันดับเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่า SEO Technical คืออะไร และวิธีการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ Google ชอบ โดยการปรับแต่งทางเทคนิคต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา
1. SEO Technical คืออะไร?
SEO Technical คือการปรับแต่งด้านเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้ดีและเป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหามากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างและการตั้งค่าภายในเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ, การตั้งค่า URL, การจัดการกับ Sitemap, การตั้งค่า robots.txt, การใช้ HTTPS, และอื่นๆ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ Google สามารถทำการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ (Crawl) ได้ง่ายขึ้น และเข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น
2. วิธีปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ Google ชอบ
การทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหานั้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงในผลการค้นหา นี่คือบางวิธีที่สามารถปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ Google ชอบ:
2.1 เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed)
Google ให้ความสำคัญกับความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ หากเว็บไซต์ของคุณโหลดช้าอาจส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ชอบเว็บไซต์ที่ใช้เวลานานในการโหลด ดังนั้นการปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
- เครื่องมือที่ใช้ทดสอบความเร็ว: คุณสามารถใช้เครื่องมือเช่น Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix ในการตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์และรับคำแนะนำในการปรับปรุง
- วิธีการปรับปรุง:
- ลดขนาดของรูปภาพ
- ใช้การบีบอัดไฟล์ CSS, JavaScript, และ HTML
- ใช้ Content Delivery Network (CDN) เพื่อกระจายข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ผู้ใช้
2.2 ปรับปรุง URL Structure
การใช้ URL ที่สะอาดและเข้าใจง่ายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ Google ให้ความสำคัญ URL ที่มีโครงสร้างที่ดีและสื่อความหมายจะช่วยให้ Google สามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ URL ที่ดีจะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่ายว่าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวกับอะไร
- หลักการของ URL ที่ดี:
- ใช้คำที่มีความหมาย (Keyword) ใน URL
- แยกคำด้วยเครื่องหมายขีด (-) แทนการใช้เครื่องหมายขีดล่าง (_)
- หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขหรืออักขระพิเศษที่ไม่มีความหมาย
ตัวอย่าง:
ไม่ดี: www.example.com/p=12345
ดี: www.example.com/seo-technical-guide
2.3 ใช้ HTTPS
การใช้ HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) เป็นการเข้ารหัสการสื่อสารระหว่างผู้ใช้และเว็บไซต์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณปลอดภัยมากขึ้น แต่ Google ยังให้ความสำคัญกับการใช้ HTTPS ในการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย การเปลี่ยนจาก HTTP เป็น HTTPS สามารถทำได้โดยการติดตั้ง SSL certificate บนเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์
2.4 การสร้างและส่ง Sitemap
Sitemap คือไฟล์ที่ช่วยบอก Google ว่ามีหน้าเว็บไหนบ้างที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณ การมี Sitemap จะช่วยให้ Google สามารถเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้นและช่วยให้การเก็บข้อมูล (Crawl) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- วิธีการสร้าง Sitemap:
- ใช้เครื่องมือเช่น Yoast SEO (สำหรับ WordPress) หรือ Google Search Console เพื่อสร้างและส่ง Sitemap ให้ Google
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Sitemap ของคุณมีหน้าเว็บที่สำคัญทั้งหมดรวมอยู่ด้วย
2.5 การใช้ Robots.txt
Robots.txt เป็นไฟล์ที่บอกเครื่องมือค้นหาว่าสามารถเก็บข้อมูลจากหน้าต่างๆ ของเว็บไซต์ได้หรือไม่ หากเว็บไซต์ของคุณมีหน้าเว็บที่ไม่ต้องการให้เครื่องมือค้นหาค้นพบ (เช่น หน้า Admin หรือหน้าข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องกับ SEO) การตั้งค่า robots.txt สามารถช่วยได้
- ตัวอย่างของไฟล์ robots.txt:
javascriptคัดลอกโค้ดUser-agent: *
Disallow: /admin/
Allow: /blog/
2.6 การทำ Mobile Optimization
เว็บไซต์ที่สามารถใช้งานได้ดีบนอุปกรณ์มือถือจะมีโอกาสสูงที่จะได้รับการจัดอันดับที่ดีจาก Google เพราะ Google ให้ความสำคัญกับการแสดงผลบนมือถือ Mobile-First Indexing หมายความว่า Google จะพิจารณาเวอร์ชั่นมือถือของเว็บไซต์เป็นหลักในการจัดอันดับ
- วิธีการปรับปรุง:
- ใช้ Responsive Web Design (RWD) เพื่อให้เว็บไซต์สามารถแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์
- ทดสอบการแสดงผลของเว็บไซต์บนอุปกรณ์มือถือโดยใช้เครื่องมือเช่น Google Mobile-Friendly Test
2.7 การใช้งาน Structured Data (Schema Markup)
Structured Data หรือ Schema Markup คือการเพิ่มข้อมูลที่มีโครงสร้างเข้าไปในเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น เช่น การใช้ JSON-LD หรือ Microdata เพื่อบอกว่าเนื้อหาของเว็บไซต์เป็นอะไร เช่น บทความ, ผลิตภัณฑ์, การให้คะแนน หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท้องถิ่น
- ประโยชน์:
- การเพิ่ม Rich Snippets ในผลการค้นหาจะช่วยให้เว็บไซต์โดดเด่นขึ้น
- ช่วยเพิ่มการมองเห็นและ CTR (Click-Through Rate)
3. สรุป
SEO Technical เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถทำงานได้ดีและเป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหามากขึ้น โดยการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ Google ชอบ เช่น การเพิ่มความเร็วในการโหลด, การใช้ HTTPS, การสร้างและส่ง Sitemap, การทำ Mobile Optimization, และการใช้งาน Structured Data จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ใช้ได้มากขึ้น
การทำ SEO Technical อย่างถูกต้องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูล (Crawl) และการเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในเครื่องมือค้นหาต่างๆ รวมถึง Google